เรื่องราวของฉัน · หลินโม่
“ร่องรอยของกาลเวลาไม่ควรจะลบเลือนไปทั้งหมด แต่บางร่องรอยมีไว้เพื่อจดจำ”

ฉันชื่อหลินม่อ เป็นช่างบูรณะโบราณวัตถุ
ตลอดระยะเวลาสิบห้าปีที่ผ่านมา
ฉันทำงานอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ซีอาน รับผิดชอบงานบูรณะโบราณวัตถุหิน
ในช่วงแรกฉันรักงานของตัวเองมาก
ฉันเชื่อว่างานที่ฉันทำคือการ “ซ่อมแซมประวัติศาสตร์” เป็นงานที่มีคุณค่าและมีความหมาย
ฉันทำงาน ศึกษา และฝึกฝนทุกวัน เพื่อให้ฝีมือของฉันชำนาญยิ่งขึ้น
เพื่อให้โบราณวัตถุในมือฉันกลับมาสวยงามดังเดิม
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งฉันบูรณะวัตถุมากเท่าไร
ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่า สิ่งที่ฉันเรียนรู้มาตลอดชีวิต
เป็นเพียงการพยายาม “ทำให้สิ่งของหนึ่งชิ้นกลับไปเป็นเหมือนเดิม”
ลบเลือนร่องรอยของเวลาและเรื่องราวที่มันเคยเผชิญ
ยิ่งบูรณะได้สมบูรณ์เท่าไร ก็ยิ่งมองไม่เห็นความเจ็บปวดและพลังที่วัตถุเคยรับไว้
ราวกับว่ามันเป็นเพียง “งานศิลปะชิ้นงาม” เท่านั้น
อาจารย์ของฉันเคยบอกว่า
“หน้าที่ของเราคือการคืนรูปลักษณ์เดิมให้โบราณวัตถุ
เพื่อให้ผู้คนได้เรียนรู้และเข้าใจประวัติศาสตร์ช่วงนั้น”
บางที ฉันอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้
จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันได้รับเชิญให้ร่วมบูรณะ กำไลหยกสมัยราชวงศ์ถัง
ตัวกำไลยังคงสมบูรณ์ดี เพียงแต่มีรอยร้าวลึกหนึ่งรอย
งานลักษณะนี้ฉันเคยทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จนชำนาญทุกขั้นตอน
แต่คราวนี้ ฉันกลับ ลังเล

เจ้าของกำไลคนนั้นเกิดในยุคสงคราม
กำไลหยกวงนี้ได้อยู่กับนาง ผ่านความหิว ความทุกข์ ความหนาว ความตาย
ก่อนจะถูกฝังอยู่ใต้ดินนานนับพันปี
หากฉันขัดแต่งและซ่อมรอยร้าวนั้นจนเรียบ
เรื่องราวแห่งสงครามที่อบอวลด้วยควันปืน
จะสูญหายไปด้วยหรือไม่
ผู้คนจะเห็นเพียงความงามอันเงางามของหยกยุคราชวงศ์ถัง
แต่ไม่อาจสัมผัสถึงเรื่องราวแห่งความเจ็บปวดที่มันเคยผ่านพ้นมา
ฉันจึงมีความเห็นไม่ตรงกับทีมบูรณะ
ฉันคิดว่า ควรเก็บรอยร้าวนั้นไว้ เพราะมันคือ “ความทรงจำทางประวัติศาสตร์” ของตัวมันเอง
แต่คนอื่นในทีมกลับเห็นว่า ควรขัดให้กลับมามีความเงางาม
ให้มัน “เกิดใหม่อีกครั้ง”
บางทีพวกเขาอาจจะถูก
แต่ฉันก็ไม่คิดว่าฉันผิด
เพราะความคิดไม่อาจเข้ากันได้
ฉันจึงตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำมากว่าสิบห้าปี
แม้แนวคิดเราจะแตกต่าง แต่ฉันยังคงรักในหินและหยกเช่นเดิม
หยกหนึ่งชิ้นต้องใช้เวลานับร้อยหรือพันปีจึงจะก่อตัวขึ้น
ฉันรักในความหนักแน่นของมัน ความรู้สึกแห่งกาลเวลา
ความเปลี่ยนแปลงของโลกทำให้ฉันตระหนักถึงความเล็กน้อยของมนุษย์
และยิ่งทำให้ฉันเคารพธรรมชาติมากขึ้น
ดังนั้นฉันจึงเปิดร้านแห่งนี้
ฉันอยากสร้างผลงานที่ “มีร่องรอยซึ่งควรค่าแก่การคงอยู่”
เพื่อให้ผู้คนได้นำหยกที่ฉันสร้างไปสวมใส่
และใช้มันร่วมเดินทางผ่านเรื่องราวของชีวิตตนเอง
และบางที ฉันก็จะได้พบกับ “ความหมายของชีวิต” ของฉันอีกครั้ง